รายงานการประชุมคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.)
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน 2561
*****************************
การปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณ ราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง
วันนี้ (20 เมษายน 2561) ที่กระทรวงพลังงาน ดร. ศิริ จิระพงษ์พันธ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
ได้กล่าวถึงการพิจารณาของคณะกรรมการบริหารนโยบายพลังงาน (กบง.) เกี่ยวกับการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณ ราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ว่า
“จากรายงานการศึกษาของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เปรียบเทียบการคำนวณราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง (ดีเซล เบนซิน และ แก๊สโซฮอล) ระหว่างเกณฑ์ที่ใช้ในปัจจุบัน ซึ่งใช้ราคา FOB สิงคโปร์ สำหรับเกรดน้ำมัน Euro III เป็นฐาน แล้วบวกด้วยค่าปรับปรุงคุณภาพให้เป็นเกรดน้ำมัน Euro IV ที่ใช้ในเมืองไทย และบวกด้วยค่าใช้จ่าย (เทียบเท่า) การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากสิงคโปร์ กับการอ้างอิงราคา FOB สิงคโปร์ สำหรับเกรดน้ำมัน Euro IV เป็นฐาน แล้วบวกเฉพาะค่าใช้จ่าย (เทียบเท่า) การขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงจากสิงคโปร์ ซึ่งที่ประชุม กบง. ได้มีมติเห็นชอบให้ใช้เกณฑ์ราคา Euro IV เป็นฐาน เนื่องจากสามารถสะท้อนสภาวะการแข่งขันในตลาดสากลได้ใกล้เคียงตามความเป็นจริงได้มากกว่า และหากเปรียบเทียบราคา ณ โรงกลั่น ของวันนี้
(20 เมษายน 2561) ที่คำนวณตามวิธีเดิม (ใช้ Euro III เป็นฐาน) กับ ตามวิธีใหม่ (ใช้ Euro IV เป็นฐาน) แล้ว
จะส่งผลให้ราคา ณ โรงกลั่น สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ลดลง 41 สตางค์ต่อลิตร สำหรับน้ำมันดีเซล และ 61 สตางค์ต่อลิตร สำหรับแก๊สโซฮอล 91 (E10)
ประกอบกับการที่ได้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาในวันนี้ ถึงมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ที่อนุมัติให้ปรับลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเบนซิน แก๊สโซฮอล และดีเซล ลง 15 สตางค์ต่อลิตร เป็นระยะเวลา 2 ปี จะส่งผลให้ราคาขายส่ง (ก่อนรวมค่าการตลาดและ
จัดจำหน่ายตามสถานีบริการ) สามารถลดลงได้ 60 – 80 สตางค์ต่อลิตร
ทั้งนี้ ดร. ศิริ ได้กล่าวเสริมว่า การปรับโครงสร้างเกณฑ์การคำนวณราคา ณ โรงกลั่น และการปรับลดอัตราเงิน
ส่งเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน ในวันนี้ จะช่วยลดผลกระทบของการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
ได้เพิ่มขึ้นมากในช่วง 2-3 สัปดาห์ ที่ผ่านมา ต่อผู้บริโภค เทียบเท่ากับราคาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น/ลดลง 3.00 – 4.00 เหรียญต่อบาเรล”